วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ลองทำ ไก่ทอดบอนชอน

ลองทำไก่ทอดบอนชอน ไก่ทอดจุ่มซอสแบบเกาหลี
ประยุกต์สูตรจากที่นี่ http://pantip.com/topic/33441411 และ http://www.pepper.ph/bonchon-soy-garlic-chicken-wings/

ส่วนผสมสำหรับไก่ทอด

  • ปีกไก่บน-ล่าง 5 ขีด
  • แป้งข้าวโพด  2 ถ้วยตวง
  • เกลือ และพริกไทย 

ส่วนผสมน้ำซอส

  • ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วยตวง
  • เหล้ามิริน 1/4 ถ้วยตวง
  • หัวหอมใหญ่ซอยละเอียด 1/4 หัว
  • ขิง 1 นิ้ว ซอยละเอียด 
  • กระเทียม 4 กลีบ
  • น้ำตาลทรายแดง 2-1/2 ถ้วย
  • แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา 

วิธีทำ 

หมักปีกไก่ด้วยเกลือและพริกไทย
คลุกแป้งข้าวโพด
ทอดให้เหลือง
คิวของปีกไก่ล่าง ก่อน
 แล้วซับน้ำมันให้แห้ง รอทอดอีกรอบ
 ตามด้วยปีกไก่บน

นำส่วนผสมน้ำซอสทั้งหมดมาเคี่ยว (คำเตือน อย่าใช้ซีอิ้วขาวทั่วไป เพราะเค็มมาก ให้เลือกแบบเค็มน้อย หรือใช้โชยุแทน) พอใส่แป้งข้าวโพด ซอสจะเริ่มข้น แล้วยกมากรอกเครี่อง


เตรียมทอดไก่ซ้ำ โดยตักกากแป้งออกจากน้ำมันทอดก่อน จากนั้นนำไก่มาทอดด้วยไฟแรงอีกรอบ เพื่อไล่น้ำมัน รีบเอาขึ้นแล้วมาจุ่มน้ำซอสทันที




เนื่องจากเรายังไม่เคยทาน ไก่ทอด Bonchon เลย จึงให้น้องสาวทดลองทาน ผลคือ ไม่เหมือนเลย 5555 แต่พอทานได้ รสจัดน้อยกว่า อาจจะพลาดที่ใช้ซีอิ้วขาวทั่วไปที่มีความเค็มจัด จึงต้องแก้ด้วยมิริน ขิงมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายไก่สิบสองชี้นก็หมดน่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การใช้บริการขนส่งพัสดุที่หมอชิต... ครั้งแรก

มาใช้บริการรับส่งพัสดุผ่านรถทัวร์ บขส  เป็นครั้งแรก  ก็งงๆแล้วว่าถ้าไปหมอชิต เราจะไปตรงไหนดี

ที่เขียนไว้อันนี้ เรามารับพัสดุจากพิษณุโลก โดยพี่ที่ส่งใช้บริการพัสดุ 99-999 ซึ่งเป็นของบริษัท บขส.เอง มีจุดรับส่งโดยเฉพาะ หากไปใช้บริการของเจ้าอื่นๆ  ต้องไปรับที่บูธของเจ้านั้นๆ เอง

หากมาด้วยรถส่วนตัว ที่หมอชิตจะแบ่งจุดจอดรถสองทาง ด้านหน้าจะเป็นส่วนขาออก เพื่อส่งคนหรือส่งของ ส่วนด้านหลังจะเป็นส่วนขาเข้า ก็จะมีจอดที่แท๊กซี่รับผู้โดยสารและที่จอดรถส่วนตัวด้านหลัง 

แผนที่ทางอากาศ สถานีขนส่งหมอชิต
ด้านหน้าจุดรับพัสดุของ บขส จะมีที่เก็บของ ซึ่งเค้าจะเก็บไว้ให้ 7 วัน 

ด้านหน้า จุดรับพัสดุของ บขส
มาได้ทุกวัน เกือบทุกเวลาโดยทีเดียว


เมื่อมาถึง ลองถามเจ้าหน้าที่ก่อนว่า พัสดุถึงแล้วยัง เช่นบอกหมายเลขรถหรือเที่ยวรถ หากพัสดุมาถึงแล้ว ผู้รับต้องกรอกแบบฟอร์มและแนบบัตรประชาชน ก็ได้พัสดุกลับบ้านเลย



หากต้องการมาส่งพัสดุ ก็จอดรถด้านหน้า โดยหากจอดรถไม่เกิน 15 นาทีไม่เสียค่าจอด (สรุปเรามารับของ แต่จอดรถผิดจุด เลยเดินแบกของไกลหน่อย)


ป้ายจุดส่งพัสดุ หนึ่งวันถึง ของ บขส


หากของเยอะ ก็มาจอดที่นี่เลย



รถขนส่งพัสดุ โดยเฉพาะของ บขส ไม่มีฝากใต้ท้องรถ


หลังจากได้รู้ว่า บขส ก็มีบริการส่งพัสดุ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งเช่นเดียวกับไปรษณีย์และรถไฟ การขนส่งใช้เวลาหนึ่งวันถึงที่หมาย แต่มีข้อเสียคือเราต้องรับของเอง (สถานีหมอชิตรถติดมากๆ)


วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลองทำมาม่าหม้อไฟ แบบเกาหลี

ทำหม้อไฟแบบเกาหลี Budae jjigae


เค้าว่าเมนูนี้ เกิดช่วงหลังสงครามเกาหลี โดยชาวเกาหลีได้ปันอาหารบางส่วนอย่างไส้กรอก และแฮม จากทหารอเมริกัน แล้วนำไปต้มกับซุปบ้านเค้าที่มีพริกโคชูจังเป็นส่วนประกอบ

พอดีได้เส้นมาม่าจากรุ่นพี่จากเกาหลีมา ซองใหญ่ๆ แบบนี้ http://f.ptcdn.info/040/018/000/1398062021-image-o.jpg (แอบเห็นยี่ห้อนี้ที่ max value ซองละประมาณ 40 บาท) พอดีที่บ้านมีพริกโคจูจั พอดีผมอยากกิน 

ส่วนวิธีทำ ได้จากคุณพะยูนบูด (http://payunbud.com/budaejjigae/) ครับ ดูแล้วไม่ยากเลย เริ่มจากวางผักกาดขาวรองในหม้อก่อน แล้ววางเส้นมาม่าลงบนผักอีกที เพราะกลัวเส้นติดหม้อ



 จากนั้นวางส่วนประกอบที่หาได้ในตู้เย็นไว้รอบๆ  ก็มี หมูยอ คอหมูสไลด์ ผักกาดขาว เห็ดเข็มทอง แครอท และพระเอกของเราพริกโคชูจังประมาณ 1 ช้อนโต๊ะครึ่ง

ก้อนสีแดงๆ บนเส้นมาม่าไม่ใช่พริกเผานะครับ มันคือพริกโคชูจังที่เป็นกล่องๆ วางข้างเตา


ราดน้ำมันงา และเครื่องปรุงของมาม่าเกาหลี จากนั้นเติมน้ำสูงประมาณครึ่งหนึ่งของเส้น แล้วปิดฝาต้มจนเส้นใกล้สุก แล้วตอกไข่ไก่ สูตรนี้เราได้น้ำพอคลุกคลิกแบบหมี่โกเรง หากใครต้องการซุปเยอะๆ ก็เติมน้ำทีหลังได้

เสร็จแล้ว นี่คือหน้าตาของมาม่าหม้อไฟแบบเกาหลี


หม้อนี้กินสองคน งบประมาณไม่เกินร้อย อิ่มแน่นอน !!!



วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันสุดท้ายในเมืองเสียมเรียบกับ City Running

Running to Angkor Wat 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในเมืองเสียมเรียบ เครื่องออกประมาณบ่ายสาม ผมรู้สึกว่ายังไม่จุใจกับยามเช้า ณ นครวัด แถมพกรองเท้าวิ่งมาด้วย เลยวางแผนจะวิ่งไปนครวัดตอนเช้า หลังจากดูระยะทางจากที่พักถึงหน้าสะพานนาค ประมาณ 7 กิโลเมตร (ไปกลับประมาณ 14 กิโล ยังอยู่ในระยะทำการวิ่งของผม)

ก่อนนอนจัดเตรียมของใส่ถุงติดตัว พาสปอร์ต น้ำ 1 ขวด ตั๋วเข้านครวัด และเงินประมาณ 5 USD เผื่อกรณีฉุกเฉิน เริ่มวิ่งประมาณ 4:30 น. กะให้ถึงนครวัดก่อน 5:30 น ซึ่งพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี เส้นทางที่ใช้เลาะเข้าถนน Charles De Gualle เพื่อไปถึงด่านตรวจหรือจุดซื้อตั๋ว

 การวิ่ง เราจะวิ่งชิดขวา ดูพื้นบ้างอาจจะมีขยะหรือหลุม เพราะไม่อยากเจ็บระหว่างทาง วิ่งไปได้ 3.5 Km ก็ถึงจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ก็ถามว่า อยากได้รถตุ๊กตุ๊กไหม กลัวเราไปไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากวิ่งเข้าอุทยานแล้วถนนดีมากก เป็นทางตรงยาววว ระหว่างทางก็มีรถตุ๊กตุ๊กเริ่มพานักท่องเที่ยวไปนครวัดบ้างแล้ว เราก็อาศัยแสงไฟจากรถเหล่านี้ล่ะ ไม่ต้องมองสองข้างทางน่ะ ป่าดงดิบชัดๆ รถตุ๊กตุ๊กส่งนักท่องเที่ยวก็ขับนิสัยดี ไม่ต้องระแวงว่าแซงขวามาชนเราเลย

วิ่งอีกประมาณ 2 กิโลก็ถึงสระน้ำของนครวัดแล้ว


และผมก็หยุดที่หน้าสะพานนาค เพราะจุดนี้นักท่องเที่ยวก็นิยมรอชมพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน เงาสะท้อนน้ำ สวยไม่แพ้ด้านในเลย เห็นทั้งโคปุระ และยอดปราสาททั้งหมดด้วย มือถือผมรัวเลยครับ







พยายาม Selfie ตัวเอง แต่ไม่ค่อยโปรครับ ใช้เป็นหลักฐานว่า ผมวิ่งมาจริงๆ น่ะ


แดดเริ่มร้อนแล้ว ผมจึงเริ่มวิ่งกลับโรงแรมและเก็บภาพไปด้วย ขนาดต้นตาลยังสวยเลย (สงสัยเริ่มหิว) ในนครวัดมีชาวบ้านเก็บน้ำตาลสดและขายให้นักท่องเที่ยวด้วย


 ตรงนี้โดนหมาของร้านค้าเห่าไล่ด้วย สงสัยมันเห็นว่าเรายืนหน้าร้านนานเกินไป


ถนนที่เชื่อมระหว่างเมืองเสียบเรียมกับนครวัด รูปซ้ายคือ Charles De Gaulle สีแดงๆ คือดินลูกรังนะ ไม่ใช่เลนจักรยาน รูปขวาคือถนนอีกเส้นเข้าเมืองได้ ไปสนามบินได้ ข้างทางมี Gallery ภาพเขียนสีน้ำมันเต็มเลย ขากลับผมยังเลือกเส้นหลัก Charles De Gaulle

            

สรุปผลการวิ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งวิ่งไปกลับ และยืนดูพระอาทิตย์ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงโรงแรมที่พักประมาณ 7.00 น้ำหมดขวดพอดี พร้อมทานข้าวเช้าให้อิ่ม เพราะวันนี้เราจะทานข้าวเย็นที่กรุงเทพ !!!! (อย่างกับนักรบสปาตัน)


ผมให้คุณ Chou มารับเที่ยงตรง เพื่อพาพวกเราไปสนามบิน นี่คือภาพคุณ Chou และรถตุ๊กตุ๊กคู่ใจ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่นี่ สำหรับใครสนใจใช้บริการ ก็ติดต่อผ่าน FB หรือ http://chhaychou83.wix.com/tuk-tuk-angkor ได้


สำหรับสนามบินเสียมเรียบตอนนี้กำลังปรับปรุงอาคาร ช่อง Check In ยังน้อย (แต่เที่ยวบินเหมาลำเยอะ) ถ้าใครมาเร็ว อาจจะไม่มีที่นั่งรอ หาก CheckIn แล้วก็เข้าไปรอใน Terminal ใหม่ ซึ่งทำค่อนข้างดี และภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายในเมืองเสียมเรียบ และประเทศกัมพูชา ลาแล้ว เรียนซันเฮย


ครั้งหน้า ผมอาจจะมาเยือนนครวัดอีกครั้งกับ Angkor Marathon ครับ




ทริป See Angkor Wat and Die & เมืองเสียมเรียบ (วันที่ 3)

 See Angkor Wat and Die 

"Arnold Toynbee" ได้กล่าวไว้

วันที่ 3 ในเมืองเสียมเรียบ เราจะไปดูนครวัดแบบสบายๆ โดยให้คุณพ่อกับน้องสาวทานข้าวเช้าของโรงแรม จนถึงแปดโมง คุณ Chou คนขับรถตุ๊กตุ๊กก็มารอตามที่นัดไว้ โดยเราจะเดินทางเข้านครวัด หลังจากตรวตตั๋วเข้าชม (ซื้อเที่ยวสามวัน เข้าเมื่อไรก็ได้) ก็ได้เวลาทัวร์ด้านในนครวัด 


นครวัด มี 3 ชั้น แนะนำเดินจากชั้นในก่อน คือยอดปราสาท มีทั้งขึ้นอยู่ด้านหลัง จำกัดคนขึ้นครั้งละ 100 คนเท่านั้นแต่...


วันที่ไปเยือนเป็นวันพระ เค้าจะไม่เปิดให้ขึ้นครับ จึงแค่เดินรอบยอดปราสาท


 ด้านหน้าของยอดปราสาท เป็นทางเดินขึ้นลงของกษัตริย์ ดูทั้งสูงและชันเหลือเกิน

 
ชั้นที่สอง ตัวปราสาทมีสระน้ำเล็กๆ อยู่สี่สระ 


ภายในมีภาพสลักนางอัปสรหลากหลายท่ารำ มี costume ทรงผมไม่ซ้ำกัน และมีบางส่วนเค้าว่ายังทำไม่เสร็จ (วัดนี้ยังสร้างไม่เสร็จ !!!!)


นางอัปสรหลายภาพโดนนักท่องเที่ยวลูบคลำจนมันวาว เพราะมีบางความเชื่อว่า ใครอยากมีลูกหรือมีลูกยาก หากไปลูบอก สมหวังทันที


 องค์นี้ทำผมเหมือนเซลล่ามูนเลย


มีพระพุทธรูปในนครวัดด้วย

 

ด้านในมีบริเวณลานกว้างๆ ให้เดิน เมื่อก่อนอาจจะเป็นที่อยู่ บ้านพักต่างๆ


 ชั้นนอกรอบกำแพงทั้งสี่ทิศ มีภาพสลักนูนต่ำบันทึกเรื่องราวต่างๆ (แนะนำให้ดู National Museum ก่อนเข้านครวัด จะได้เที่ยวอย่างมีอรรถรสมากขึ้น) ได้แก่ สงครามมหาภารตะ


วีรกรรมของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2  

พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
 โดยเฉพาะรบกับอาณาจักรจาม 

นักรบจากสยามกุกมาช่วยรบ
ตีกันหัวหลุดเลยทีเดียว
 ตำนาน Ocean of Milk  หรือ กวนเกษียรสมุทร (ดูเหมือนชักกะเย่อเลย) มีสองฝั่ง ฝั่งอาชูร่า ฝั่งเทวดา ช่วยกันกวนเพื่อเอาน้ำอมฤต เย่อไปเย่อมา นางอัปราพุ่งออกมาเต็มทุ่งข้าวสาลี เป็นโกโก้ครั้น (อ่านตำนวนที่นี่ http://www.unzeen.com/article/1976/)

ฝั่งอาชูร่าจับหัว
ฝั่งเทวดา จับหาง
ตรงกลางเหมือนพระนารายณ์
ยังมีนรก และสวรรค์

จุดแบ่งเป็นสองชั้น บนสวรรค์ ลงนรก
ด้านนรกจะมีลายละเอียดเยอะกว่า สงสัยจะให้ผู้ชมกลัว และทำแต่ความดี

ยมบาลมั้ง อ่านคำตัดสิน
 ด้านหลังของปราสาทก็สวยไม่แพ้กัน


มุมมองจากประตูทิศตะวันออก ซึ่งสามารถเดินทางไปดูปราสาทตาพรหม สระสรางได้

 

เดินไปๆมาๆผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ต้องขอลานครวัด หลบแดด ไปข้าวเที่ยงที่ร้าน Blue Pumpkin ใน Old market ชื่อ blue pumpkin เป็นร้านเบเกอรี่ที่ดังในเสียมเรียบ ชั้นสองมีคาเฟ่ให้นั่งชิวๆ นอกจากกาแฟ ขนมปังและไอศครีม ทางร้านก็มีอาหารจานเดียวด้วย สั่งคนละอย่างเลย รวม 17.5 USD

ปลาผัดไรซักอย่าง
ปอเปี๊ยะสด กับ Hoisin Sauce
เฝอเนื้อ
หลัวจากอิ่มกับมื้อเที่ยง ก็ชวนกลับไปพักที่โรงแรม หลบร้อน นอนดู Seagame รอช่วงเย็นๆ จะไป War Museum และทานข้าวเย็นที่ Old market 
War Musuem ตั้งอยู่ค่ายทหารของเมืองเสียมเรียบ เป็นที่เก็บ ซากยุทธโทปกรณ์สมัยสงครามเวียดนาม จนถึงยุคเขมรแดง ที่พบในจังหวัดเสียมเรียบ และพื้นที่ใกล้เคียง โดยเก็บค่าเข้าชมคนละ 5 USD มีไกด์ซึ่งหลายคนเคยเป็น เขมรแดง 


ภายในเหมือนสวนมะม่วงเดิมและวาง ซากรถถัง ปืนใหญ่ ส่วนใหญ่ค่ายโซเวียต มีอากาศยานสองลำ อยู่ติดทางเข้าเลย ลำแรกเครื่อง MIG เลย


 ฮอ ลำเลียงและโจมตีของค่ายโซเวียด ลำใหญ่เหมือนกันนะ


 ท้ายเครื่องเปิดได้สำหรับ ให้ทหารลง ปัจจุบัน รัสเซียก็ใช้ ฮอ. ลำเลียงแนวนี้อยู่


รอบๆ มีการจัดวางอาวุธประจำกายทางของ เมกา และโซเวียตครบ รวมถึงเครื่องใช้ เสื้อผ้าของเขมรแดง ขวาของรูปเป็นของนายทหาร และด้านซ้ายเป็นของพลเรือน รวมถึงการกระทำโดยคำสั่งจากผู้นำเขมรแดงผู้บ้าอำนาจ


มีส่วนแสดงการวางกับระเบิดในสมัยก่อน โดยจะวางรอบๆ บ่อน้ำป้องกันคนขโมยน้ำ มีทั้งแบบเหยียบและกบกระโดด

สนามจำลองการวางกับระเบิด
ต่อไปเป็นรถถัง รถลำเลียงพลต่างๆ ยุคโซเวียต เหมือนยก Red Alert มาไว้ที่นี่ เพียงแต่อันนี้ของจริง รอยกระสุนจริง ระเบิดจริง และทหารเจ็บตายจริงๆ อันนี้ T54 เหล็กอย่างหนายังโดนระเบิดฉีกเหมือนกระดาษ


รถลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก ทรงคล้าย BRT60 (รถเกราะยูเครน) บ้านเราเลย


รถยิงจรวดหลายลำกล้องก็มี 



ที่นี่ปิดห้าโมงครับ จากนั้นเราเที่ยว Old market ทานข้าวเย็นและเดินเล่นที่นั่นเล็กน้อย รอบๆ ขายของทั่วๆ ไป ทั้งเสื้อผ้า ของแห้ง (คล้ายๆ ตลาดกิมหยงที่หาดใหญ่)

ป้ายหน้าตลาด
 ตรงกลางของตลาด ขายของสด


ตึกรอบๆ Old market
จากนั้นกลับไปพักที่โรงแรม เพราะคืนนั้นมีบอลชาย Sea Games รอบชิงชนะเลิศ พรุ่งนี้จะ City Run ไป Angkor Wat